Seller University

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ
การส่งออกข้ามพรมแดน

1. อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนคืออะไร

ร้านค้าทั่วโลกของ Amazon ครอบคลุมเว็บไซต์ในประเทศขนาดใหญ่ 17 แห่ง รวมถึงอเมริกาเหนือ ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย
และตะวันออกกลาง โดยมีบัญชีที่ใช้งานอยู่กว่า 3 ร้อยล้านบัญชีและผู้ซื้อธุรกิจหลายล้านราย บทนี้จะแนะนําเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน และกรณีตัวอย่างโดยละเอียดเพื่อให้ตีความได้อย่างง่ายขึ้น

1.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน

อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนหมายถึงรูปแบบธุรกิจที่ผู้ขายและผู้ซื้อที่อยู่ในประเทศที่แตกต่างกัน โดยการซื้อและขายของผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คืออีคอมเมิร์ซการนําเข้าข้ามพรมแดนและอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน

อีคอมเมิร์ซการนำเข้าข้ามพรมแดน หมายถึงการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาขายในประเทศไทย

และอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน หมายถึงผู้ขายที่นำสินค้าไปขายยังตลาดต่างประเทศผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเช่น Amazon องค์ประกอบของอีคอมเมิร์ซมี 3 ประการ
หน่วยงานการทํา
ธุรกรรมที่เป็นของ
ศุลกากรที่แตกต่างกัน
การชำาระเงิน และ การทำ
ธุรกรรมผ่าน
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
สินค้าที่ขนส่งผ่านการ
จัดเก็บและการกระจาย
สินค้าข้ามพรมแดน
แม้ว่าจะดูคล้ายกับธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศ แต่รูปแบบการทำงานจะแตกต่างกันเล็กน้อยเนื่องจากความ
แตกต่างทางภูมิศาสตร์ของผู้ซื้อและผู้ขาย

ตัวอย่างเช่น การรับชำระเงิน: การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนจะได้รับสกุลเงินต่างประเทศต่าง ๆ เนื่องจากความแตกต่างทาง
ภูมิศาสตร์ วิธีการแปลงเป็นบาทไทยและฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ขายอย่างถูกกฎหมายนั้นต้องใช้วิธีแก้ไขปัญหาการรับชำระเงินข้ามพรมแดน
ในฐานะผู้นำทางด้านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน Amazon ได้อาศัยเครือข่ายการจัดส่งและการกระจายสินค้าทั่วโลกที่
แข็งแกร่ง และสร้างสินค้าและเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถขายสินค้าไปยังทั่วโลกผ่าน
เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของ Amazon ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

1.2 ภาพรวมของการตลาดอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน

1. อีคอมเมิร์ซทั่วโลกยังอยู่ในช่วงการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

คาดว่าภายในปี 2021 การค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลกจะมีมูลค่าถึง 4.878 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดเป็น 17.5% ของยอดขาย
ปลีกทั่วโลก โดยมีภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้บุกเบิก: ในปี 2021 การเปรียบเทียบการค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลกจะอยู่ที่เกือบ 70%
จากการสังเกตสถาณการณ์ทั่วโลก คงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนของอีคอมเมิร์ซค้าปลีก
คาดว่าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจะคิดในสัดส่วนของยอดขายอีคอมเมิร์ซค้าปลีกทั่วโลก 20% (2)
สหรัฐอเมริกา:
อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ
เป็น 3.6 เท่าของการค้าปลีก (3)
ฝรั่งเศส:
อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ
เป็น 7.85 เท่าของการค้าปลีก (3)
ญี่ปุ่น :
อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ
เป็น 4 เท่าของการค้าปลีก (3)

2. อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทั่วโลกนั้นสูงกว่าอัตราการเติบโตของการค้าปลีกออฟไลน์แบบดั้งเดิม

อุตสาหกรรมการค้าปลีกทั่วโลกได้รักษาโมเมนตัมของการเติบโตในทุกๆปี และคาดว่าในปี 2023 จะสูงถึง 29.7 ล้านล้านดอลลาร์
สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 19%
สําหรับยอดขายอีคอมเมิร์ซคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 86% ภายในปี 2023 หรือสูงถึง 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเร็วกว่าอัตราการ
เติบโตโดยรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกอย่างมาก และสูงกว่าอัตราการเติบโตการค้าปลีกออฟไลน์ 7.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน
เมื่อดูตามสัดส่วนของยอดขายอีคอมเมิร์ซต่อยอดโดยรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกทั่วโลกแล้ว ในปี 2010 มีอัตราส่วนเพียง 3.7%
และในปี 2019 เพิ่มขึ้นเป็น 14% และคาดว่าในปี 2023 จะสูงถึง 21.9% ผู้ขายหลายรายกล่าวว่าตนเองได้พลาดช่วงการพัฒนาที่
รวดเร็วของอีคอมเมิร์ซตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2019 ทําให้พวกเขาไม่ควรพลาดช่วงเวลาการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอีคอมเมิร์ซในอีก
ไม่กี่ปีข้างหน้า

3. สถานะและขนาดของตลาดอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนของไทย

ในปี 2025 คาดว่าขนาดเศรษฐกิจด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูงถึง 3,000 ร้อยล้านดอลลาร์
สหรัฐ ซึ่งในนั้นมีอินโดนีเซียมี 1,440 ร้อยล้าน ไทยและประเทศไทยมีประเทศละ 400 ร้อยล้าน และแบ่งเป็นประเทศที่เหลือ
ไม่ถึง 800 ร้อยล้าน 1ภายใต้การขับเคลื่อนโดย “กลยุทธ์ 4.0 ของประเทศไทย ” อีคอมเมิร์ซของไทยกำลังพัฒนาเร็ว
กว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปัจจุบันประเทศปลายทางหลักของการส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของไทยคือสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น ซึ่ง
โดยทั่วไปแล้วจะเหมือนกับประเทศผู้ส่งออกการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม

ในปี 2018 ประเทศไทยได้แบ่งมูลค่าการส่งของสามประเทศนี้เป็น:

สหรัฐอเมริกา 88 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ จีน 67 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่น 64 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มี
เพียงมูลค่าการส่งออกของสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่การส่งออกของจีนและญี่ปุ่นลดลง
7.7% และ 2.1% ตามลำดับ
รูปที่ 5: การกระจายของประเทศและภูมิภาคการส่งออกหลัก (มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์
สหรัฐ) สําหรับการค้าสินค้าของไทยในปี 2018 (หน่วย: %)
ในปี 2019 ประเทศไทยได้แบ่งมูลค่าการส่งของสามประเทศนี้เป็น:
สหรัฐอเมริกา 312.9 ร้อยล้านดอลลาร์ จีน 29002 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่น 244.7 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งการส่งออกไปยังจีนและญี่ปุ่นลดลง 3.4% และ 1% และการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 12.5% ทั้งสามประเทศ
คิดรวมกันเป็น 34.6% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศไทย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การพัฒนาที่แข็งแกร่งของการตลาดเกิดใหม่ เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง ได้ดึงดูดผู้ขายจำนวนมาก
เช่นกัน ในขณะที่การบริโภคของช้อปปิ้งออนไลน์ในประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขนาดของนักช็อปปิ้ง
ออนไลน์ในตลาดเกิดใหม่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้จะผลักดันตลาดอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนเพื่อรักษาโมเมนตัมของการพัฒนาที่แข็งแกร่งต่อไป

ตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกายังคงมีศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง(1)
นักช้อปปิ้งออนไลน์และผู้บริโภคชาวอเมริกาใช้จ่าย 858 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก (511 ดอลลาร์
สหรัฐ) ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา 51% เป็นผู้หญิง และกระจุกตัวอยู่ในวัยรุ่นอายุ 25-44 ปี
ตลาดอีคอมเมิร์ซในยุโรปมีสภาพแวดล้อมเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ดีเป็นพิเศษ (1)
การเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่สูงเป็นพิเศษของตลาดอีคอมเมิร์ซญี่ปุ่นเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสําหรับการเติบโต
ในอนาคต(1)
อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 94% อัตราการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวัน 91% เนื่องจากความกดดันในการ
ทำงานและปัจจัยอื่นๆ เวลาการใช้อินเทอร์เน็ตต่อหัวของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวญี่ปุ่นจึงอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 12 นาที
เท่านั้น
• หมวดหมู่การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด: สินค้าไฮเทค (ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ไอทีผลิตภัณฑ์
อิเล็กทรอนิกส์สําหรับการบริโภค) และสินค้าในครัวเรือน

• ยอดซื้อสินค้าออนไลน์เฉลี่ยต่อคนคิดเป็น 2/3 ของยอดซื้อสินค้าออนไลน์ของประเทศไทยเฉลี่ยต่อคน2 ตลาดอี
คอมเมิร์ซของญี่ปุ่นเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก

1.3 ความแตกต่างระหว่างอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนและอีคอมเมิร์ซภายในประเทศ

เนื่องจากผู้ขายและผู้ซื้อไม่ได้อยู่ในประเทศเดียวกัน อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนและอีคอมเมิร์ซในประเทศโดยทั่วไปจึงมีจุดที่แตกต่างกันหลายประการ

1. ความร่วมมือกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซระดับโลก

เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศต่างๆ มีภาษาที่แตกต่างกัน วัฒนธรรม แนวโน้มการบริโภค พฤติกรรมการบริโภคจึงมีความแตกต่าง
กันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น บางประเทศชอบสินค้าที่คุ้มราคา บางประเทศชอบสินค้าคงทนและสวยงาม และบางประเทศชอบสินค้า
แฟชั่น ประเภทของสินค้าที่ชื่นชอบก็แตกต่างกันเช่นกัน บางประเทศขายดีสําหรับสินค้าในครัวเรือน และบางประเทศเสื้อผ้าและ
เครื่องประดับเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม
หมายเหตุ: การทำความเข้าใจตลาดในท้องถิ่นเป็นก้าวแรกสู่ที่จะประสบความสาเร็จในธุรกิจ ดังนั้นในการทำอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดน ก็มักจะเลือกที่จะร่วมมือกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เช่น Amazon โดยปกติ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเหล่านี้ดาเนินการในพื้นที่มาหลายปี มีการสะสมความรู้ในด้านแบรนด์ที่ค่อนข้างสูง และมีผู้บริโภค (ผู้ใช้งาน) กลุ่มใหญ่

2. จำเป็นต้องดำเนินการจัดส่งและกระจายสินค้าผ่านโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น

ตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคชาวอเมริกาคนหนึ่งซื้อสินค้าบน Amazon ในสหรัฐอเมริกาที่ขายโดยผู้ขายชาวไทย ผู้ขายชาวไทยต้องชั่ง
น้ำหนักต้นทุนในการจัดส่งและประสบการณ์ของผู้บริโภค และส่งมอบสินค้าให้กับผู้บริโภคด้วยวิธีที่เหมาะสม สำหรับสินค้าที่มีราคาต่อหน่วยสูง และขนาดเล็ก ผู้ขายสามารถส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อผ่านระบบขนส่งด่วนระหว่างประเทศได้โดยตรง แต่สําหรับสินค้าราคาถูก ปริมาตรมาก การส่งด่วนระหว่างประเทศจึงไม่คุ้มค่าราคาแน่นอน

ในกรณีนี้ผู้ขายสามารถส่งสินค้าเป็นชุด (ตัวอย่างเช่น - แก้ว 5,000 ใบ) ไปยังคลังสินค้าที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาล่วงหน้าได้ และ
หลังจากรอให้ผู้บริโภคสั่งซื้อ ผู้ขายสามารถส่งสินค้าจากคลังสินค้าในสหรัฐอเมริกาไปยังผู้บริโภคได้โดยตรง ด้วยวิธีนี้ค่าขนส่ง
ของการกระจายแก้วแต่ละใบก็จะถูกกว่าค่อนข้างมาก จากมุมมองของผู้บริโภคความเร็วในการรับสินค้าก็รวดเร็ว - ทั้งผู้ซื้อและ
ผู้ขายก็มีความสุข

หมายเหตุ: แต่จําเป็นต้องมีบริการโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนแบบมืออาชีพเพื่อช่วยให้ผู้ขายขนส่งสินค้าจากไทยไปยังต่างประเทศ และทําดําเนินการพิธีการศุลกากรอย่างมืออาชีพ และผู้ขายจะต้องวางแผนให้ดีและสมเหตุสมผล เพราะหาก ตลาดในสหรัฐสามารถขายได้แก้วได้เพียง 500 ใบในครึ่งปี แต่ผู้ขายส่งแก้ว 5,000 ใบไปขายที่สหรัฐอเมริกา ผู้ขายอาจไม่เพียงต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดเก็บสินค้าคงคลังที่สูง หากสินค้าเหล่านี้ที่ไม่สามารถขายได้ ต้นทุนการขนส่งคืนสินค้ากลับประเทศก็จะสูงตามไปด้วย

3. ต้องดำเนินการการรับชำระเงินในสกุลเงินที่แตกต่าง

ในปัจจุบันวิธีการรับชําระเงินของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นการับชําระเงินผ่านเว็บไซต์โดยตรง ตัวอย่างเช่น
True Wallet เพื่อทําการรับชําระเงินออนไลน์เป็นต้น เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และสกุลเงินที่ชําระเงินก็เป็นบาทไทย ผู้ขายจึงไม่จําเป็นต้องจัดการกับอัตราแลกเปลี่ยน และปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับชําระเงินข้ามพรมแดน
และผู้บริโภคในต่างประเทศบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนมักจะจ่ายเป็นสกุลเงินท้องถิ่น (ตัวอย่างเช่น ดอลลาร์
สหรัฐ เยน ยูโร เป็นต้น) ดังนั้นเมื่อผู้ขายทาการคํานวณราคาสินค้า จึงต้องคํานึงถึงองค์ประกอบดังนี้: อัตราการแปลงสกุลเงิน
ต่างประเทศเป็นบาท และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามข้อกําหนดทางการเงินข้ามพรมแดน
หมายเหตุ: วิธีการแก้ไขที่ค่อนข้างสะดวกคือแนะนําให้ใช้บริการการรับชําระเงินระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างมืออาชีพ บริการนี้
สามารถช่วยให้ผู้ขายใช้บัญชีธนาคารในประเทศไทยได้โดยตรง และทําการชําระเงินทั่วโลกด้วยบาทไทย หากผู้ขายมีเว็บไซต์ในต่างประเทศ และมีบัญชีธนาคารที่ถูกต้องของท้องถิ่น ก็สามารถใช้บัญชีดังกล่าวทำการรับชําระเงินได้ เช่น ผ่าน Payoneer

4. การเก็บภาษีมีความซับซ้อนมากขึ้น

ทุกคนรู้ดีว่าการทำธุรกรรมทางธุรกิจจำเป็นต้องชำระภาษี ดังนั้น สำหรับอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน: ต้องชำระภาษี
อะไรบ้าง? ชำระให้ใคร และชำระจํานวนเงินเท่าไร?

อันดับแรกคือ อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนต้องชําระภาษีอากร ภาษีอากร หมายถึงเมื่อมีสินค้าไทยที่ต้องส่งออกไป
ต่างประเทศ (คือ ส่งออกไปยัง "พรมแดนศุลกากร" อื่นๆ พรมแดนศุลกากรคืออะไรสามารถดูได้ที่ ภาคผนวกของบทนี้)
ต่างประเทศต้องเก็บภาษีสินค้า และอัตราภาษีศุลกากรได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ตัวอย่างเช่น ประเทศผู้ส่งออก ลักษณะของสินค้า และนโยบายการค้าและอื่นๆ ต่อไปคือ ภาษีอื่นๆ ที่กําหนดโดยแต่ละประเทศ (ศุลกากรที่สอดคล้อง)
ตัวอย่างเช่น รัฐบาลสหภาพยุโรปจะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากผู้ขายอีคอมเมิร์ซ ตราบใดที่ยอดขายเกินขีดจำกัดการ
ยกเว้นภาษี ก็ต้องชำระภาษี และนโยบายภาษีในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มที่จะเข้มงวดเช่นกันและสมบูรณ์แบบขึ้น

อีกตัวอย่างเช่น: สหรัฐอเมริกายังเรียกเก็บภาษีหลายชุดอย่างภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการบริโภคและอื่นๆ ในภาษีเหล่านี้ มี
บางส่วนที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบ และมีบางส่วนที่ผู้บริโภคจะต้องรับผิดชอบเอง ผู้ขายต้องใช้วิธีการยื่นภาษีที่ถูกต้องตาม
สถานการณ์ของตัวเอง

หมายเหตุ: อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนอาจดูซับซ้อนกว่าอีคอมเมิร์ซแบบดั้งเดิม แต่ในความเป็นจริงเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
สามารถแก้ไขได้โดยการใช้เว็บไซต์ส่งออกข้ามพรมแดนหรือการร่วมมือกับการบริการที่มืออาชีพ Amazon ซึ่งเป็นเว็บไซต์อี
คอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดนชั้นนําได้ให้บริการที่เกี่ยวข้องจํานวนมาก รวมถึง ภาษี โลจิสติกส์ การสร้างแบรนด์ การโปรโมท
การตลาด การรับชําระเงินและอื่น ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ขายมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่พวกเขาทําได้ดีที่สุด เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่มากขึ้น


1.4 ความแตกต่างระหว่างอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนและการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม

ด้วยสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมที่เข้มข้นขึ้น องค์กรการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมเริ่ม
แสวงหารูปแบบการเติบโตของธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
องค์กรการค้าต่างประเทศบางแห่งเลือกที่จะส่งออกเพื่อขายในประเทศ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปรับปรุงและออกแบบสินค้าใหม่
ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศได้เปลี่ยนอะแดปเตอร์ที่ใช้อยู่ การออกแบบที่ได้รับการปรับปรุงเหล่านี้หมายถึงการทำงานหนักสําหรับพวกเขา
นอกจากนี้องค์กรบางแห่งได้เลือกที่จะเปลี่ยนไปใช้อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน และในขณะที่การทำธุรกรรมที่สะดวก ยัง
ได้รับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ดีขึ้นอีกด้วย เป็นเพราะความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศที่เหมือนกันจึงไม่จําเป็นต้อง
เปลี่ยนแปลงสินค้า ประการที่สองคือเนื่องจากสามารถใช้ใบรับรองคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ได้ สินค้าที่ส่งออกผ่านการค้าระหว่าง
ประเทศแบบดั้งเดิมจึงเหมาะสําหรับอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนเช่นกัน ประการสุดท้ายเนื่องจากยอดขายที่ได้รับและ
ชื่อเสียงผู้บริโภคของการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมผ่านอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดน ยังสามารถกระตุ้นธุรกิจเดิมได้
1. ผู้ผลิต
ที่เรามักเรียกกันว่าโรงงาน หรือ “โรงงานตัวแทน”
ปัจจุบันมีโรงงานที่คล้ายคลึงกันจำนวนมากในไทย ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตจนกระทั่งการออกแบบบางอย่าง แต่ไม่มีแบรนด์ของตนเอง ธุรกิจหลักคือเป็นโรงงานที่รับผลิตแบรนด์: นอกเหนือจากการผลิตให้โรงงานที่รับผลิตแบรนด์ในประเทศแล้ว โรงงานบางแห่งยังรับคาสั่งซื้อจากบริษัทต่างประเทศเป็นหลัก พวกเขาจึงกลายเป็นหนึ่งในการเชื่อมโยงที่สาคัญของการค้าระหว่างประเทศ
2. เจ้าของแบรนด์
เจ้าของแบรนด์คือองค์กรที่มีแบรนด์ของตัวเอง
เมื่อตลาดภายในประเทศอิ่มตัวมากขึ้น จึงท าให้แบรนด์ไทยเริ่มวางแผนที่จะขายสินค้าแบรนด์ของตนเองไปยังต่างประเทศ ในองค์กรบางแห่งมีโรงงานของตนเอง และบางแห่งไม่มี เมื่อเทียบกับเจ้าของแบรนด์ที่มีโรงงานรับผลิต พวกเขาเข้าใจความต้องการของลูกค้าดีขึ้น จึงได้นําเสนอข้อกำหนดของสินค้าไปยังโรงงานที่รับผลิต และเสนอให้โรงงานปรับปรุงสินค้าอย่างต่อเนื่องตามความคิดเห็นของผู้บริโภค
3. ผู้ส่งออก/ผู้ค้า
ผู้ส่งออกหรือที่เรียกว่าผู้ค้า มีบทบาทสาคัญในการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม
พวกเขาเชื่อมโยงผู้ผลิตของไทย เจ้าของแบรนด์และลูกค้าในต่างประเทศเข้าด้วยกัน หากไม่มีพวกเขา เมื่อ
ผู้ผลิตไทยจําเป็นต้องส่งออกสินค้าของตนเองไปยังต่างประเทศ จะประสบปัญหาในทางปฏิบัติมากมาย ซึ่ง
ประกอบด้วย: การเลือกประเทศการค้าปลายทาง การปฏิบัติตามข้อกําหนดของสินค้า ภาษา และความรู้ทาง
วิชาชีพของประเทศปลายทางการค้าที่เกี่ยวข้อง
4. ผู้นำเข้า
การนําเข้าก็เป็นเรื่องที่เป็นมืออาชีพเช่นกันเดียวกับการส่งออก ผู้นําเข้าที่มืออาชีพมักจะมีความร่วมมือระยะ
ยาวกับผู้ส่งออกไทย ไปจนถึงโรงงานที่คุ้นเคย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าในต่างประเทศค้นหา "สินค้า" ที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว
5. ผู้ค้าส่ง
ทั้งผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับแผนกแรงงานที่เรียกว่า "ช่องทางการค้าปลีก”
ผู้ค้าส่งจะซื้อสินค้าในปริมาณมากจากเจ้าของแบรนด์ และท าการแยกชิ้นส่งไปยังช่องทางการขายต่างๆ ใน
ตลาด ในกระบวนการทางธุรกิจที่แท้จริง อาจมีผู้ค้าส่งระดับย่อยหลายรายภายใต้ผู้ค้าส่ง โดยทั่วไปแล้ว
พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศมีขนาดยิ่งใหญ่ ระดับของผู้ค้าส่งก็จะยิ่งมาก
6. ผู้ค้าปลีก
ผู้ค้าปลีกสามารถเข้าใจช่องทางในการขายสินค้าให้กับผู้บริโภคในท้ายที่สุด ตัวอย่างเช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่กล่าวไว้ข้างต้น รวมถึงเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซบางเว็บไซต์และอื่นๆ เนื่องจากผู้ค้าปลีกต้องเผชิญกับผู้บริโภคโดยตรง พวกเขาจึงรู้ว่าสินค้าใดขายดีและสินค้าใดขายไม่ดี รวมไปถึงสินค้าประเภทใดที่อาจมีประสิทธิภาพทางการตลาดที่ดีกว่าในอนาคต
7. ผู้บริโภค
ผู้บริโภคก็คือผู้ที่ซื้อสินค้าในที่สุด ผู้บริโภคในประเทศที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อความชอบในการซื้อที่ไม่
เหมือนกัน ตามความแตกต่างของวัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และการพัฒนาเศรษฐกิจ เมื่อขายสินค้าให้กับพวก
เขา ควรพิจารณาว่า "ตอบสนองความต้องการของเขา” นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจบางรายจะไปที่ช่องทาง
การขายปลีกเพื่อซื้อสินค้าในฐานะบริษัท ผู้ใช้ระดับองค์กรในขณะนี้ก็เป็น "ผู้บริโภค" ที่พิเศษเช่นกัน
ทําความเข้าใจบทบาทหลักของการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม แล้วดูว่าห่วงโซ่นี้ทำงานอย่างไร

ในกรณีที่ 1

เมื่อหาสินค้าหลังจากมีความต้องการในการบริโภค ในกรณีนี้ผู้ค้าส่งหรือผู้ค้าปลีกในต่างประเทศมักจะเกิดจากห่วงโซ่การค้าต่างประเทศแบบดั้งเดิม เนื่องจากผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกรู้สึกชอบความต้องการบริโภคของผู้บริโภคในท้องถิ่น จึงเสนอความต้องการไปยังผู้นําเข้าในประเทศของนี้ ผู้นําเข้าจะมองหาผู้ส่งออกของไทยที่คุ้นเคยกับความต้องการของสินค้า ผู้ส่งออกของประเทศไทยหันไปค้นหาแบรนด์ไทย หรือโรงงานผลิต หากมีสินค้าในสต็อกก็สามารถซื้อได้ทัน

ในกรณีที่ 2

การส่งเสริมโดยผู้ส่งออกหรือเจ้าของแบรนด์ของไทย การค้นหาผู้นําเข้าในต่างประเทศจากแรงกระตุ้นของพวกเขา และโปรโมทผลิตภัณฑ์ของตนเอง ขั้นตอนการดําเนินงานจริงจะซับซ้อนกว่า ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างประเทศอาจค้นหาโรงงานที่รับผลิตของไทยได้โดยตรง ผู้ส่งออกของเไทยก็ไม่นั่งรอคําสั่งซื้อ แต่แสวงหาผู้นําเข้าจากต่างประเทศ จนกระทั่งไปติดต่อช่องการขายว่ามีโอกาสทางการค้าหรือไม่ และผู้ผลิตก็เช่นเดียวกัน
ปัญหาและความท้าทายที่รูปแบบการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมกําลังเผชิญอยู่:
ธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมเป็นรูปแบบการทําธุรกรรมแบบลูกโซ่ หรือพูดได้ว่าหน่วยงานในการเชื่อมโยงบางแห่ง
ของห่วงโซ่ โดยทั่วไปจะสามารถจัดการกับต้นทางของห่วงโซ่นี้หรือปลายทางได้เท่านั้น และรูปแบบนี้ได้มีการดําเนินงานทั่วโลก
มาแล้วหลายปี อย่างไรก็ตามในบริบทของยุคโลกาภิวัตน์ รูปแบบธุรกรรมห่วงโซ่การค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมได้ค่อยๆ เกิด
ปัญหาขึ้น ตัวอย่างเช่น:

• มีห่วงโซ่มากมายในการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม และแต่ละห่วงโซ่จะต้องมีการแสวงหาผลกําไรของตัวเอง แนวโน้มการค้า
ปลีกทั่วโลกคือการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น ดังนั้นสินค้าพรีเมี่ยมชิ้นสุดท้ายจึงมีจํากัด

• เนื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่ในไทยมักจะเข้าถึงผู้ส่งออกได้เท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถเผชิญกับผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคใน
ต่างประเทศโดยตรง จึงเป็นเรื่องยากสําหรับผู้ผลิต เจ้าของแบรนด์ และแม้แต่ผู้ส่งออกในไทยที่คาดการณ์ว่าผู้บริโภคใน
ต่างประเทศจะชอบสินค้าแบบใด? สินค้าประเภทใดที่จะได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดของประเทศปลายทางที่สอดคล้อง?
การขาดอํานาจในกระบวนการเลือกซื้อของผู้บริโภค ก็จะทําให้ผลกําไรของห่วงโซ่การส่งออกของประเทศไทยด้านการส่งออก
ของไทยแคบลงในที่สุด

• แม้ว่าจะมีผู้เข้าร่วมในธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมจะมีจํานวนมาก แต่หน่วยงานในแต่ละห่วงโซ่ของธุรกรรมไม่มี
แพลตฟอร์มที่สามารถการแบ่งปันได้อย่างแท้จริงที่ใช้สําหรับการสื่อสารข้อมูล และการประสานงานด้านกิจการต่างๆ เมื่อเกิด
การจัดการกับปัญหาหลังการขายในภายหลังก็ยากจะที่จะหลีกเลียงไม่ให้เกิดได้

ข้อดีของอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้:
จากแผนภาพด้านบน เมื่อเทียบกับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนได้รับการอัปเกรดในด้านต่อไปนี้:

• เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนช่วยลดการเชื่อมโยงระหว่างธุรกรรมและเพิ่มอัตราผลกําไรของผู้ขาย หากไม่มีสอง
บทบาทระหว่างผู้นําเข้าและผู้ค้าส่งจากต่างประเทศในรูปแบบการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม ห่วงโซ่ธุรกรรมจะสั้นลง และผล
กําไรที่สามารถจัดสรรให้กับแต่ละบทบาทจะเพิ่มขึ้น

• ผู้ขายสามารถตรวจสอบยอดขายสินค้าได้แบบเรียลไทม์บนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
การส่งออกข้ามพรมแดนช่วยให้ผู้ขายปรับแผนการจัดซื้อหรือแผนการผลิตได้อย่างรวดเร็วด้วยการให้ข้อมูลธุรกรรมแบบ
เรียลไทม์และโปร่งใส

ตัวอย่างเช่น มีการผลิตสินค้าที่ขายดีมากขึ้น และมีการสร้างสินค้ายอดนิยม: สินค้าที่เคลื่อนไหวช้ามีการผลิตน้อยลงและสินค้า
คงคลังลดลง

• อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนสามารถส่งเสริมผู้ขายในการออกแบบและปรับปรุงสินค้าได้
สินค้าท้องถิ่นอาจไม่เข้ากับต่างประเทศ ในรูปแบบการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม ผู้ขายในประเทศสามารถปรับปรุงการ
ออกแบบสินค้าตามความคิดเห็นของคู่ค้าในต่างประเทศเท่านั้น เนื่องจากข้อมูลไม่ดี สินค้าขายไม่ดีแต่กลับไม่ทราบสาเหตุ
เนื่องจากตอนนี้มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน ผู้ขายชาวไทยจึงสามารถอ่านบทวิจารณ์ของผู้บริโภคได้
ตลอดเวลา ผู้ขายที่มีเป้าหมายในไม่ช้าจะได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกจากผู้บริโภค แม้แต่การโฆษณาที่เผยแพร่เอง

• เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนยังสามารถส่งเสริมผู้ขายในด้านการบริการอื่นๆ ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น
Amazon ให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ และภาษีแก่ผู้ขายในไทย และยังให้บริการการแปลสินค้าในภาษาที่เจาะจงแก่ผู้ขายเพื่อ
ทําให้ขั้นตอนการทําธุรกรรมง่ายขึ้น
บทสรุปการเปรียบเทียบระหว่างอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนและการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม
ทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ขายสินค้าไทยในต่างประเทศเป็นหลัก ความแตกต่างก็คือ แม้ว่าขายสินค้าในต่างประเทศ
เหมือนกัน แต่เนื่องจากการส่งเสริมของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน ประสิทธิภาพของแต่ละห่วงโซ่ธุรกรรมจึงทําให้
ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในที่สุด ดังนั้นอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนจึงถือ
เป็นรูปแบบการค้าในยุคต่อไป

2. ทำไมต้องทำอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดน

2.1 ทำไมต้องทําอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน

บทนํา:
การแพร่ระบาดอย่างกะทันหันของโรคโควิด-19 ทั่วโลกในปี 2020 เป็นการกระตุ้นให้อีคอมเมิร์ซการช้อปปิ้งทั่วโลกของการขายปลีก
เติบโตเร็วขึ้น การช็อปปิ้งออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องปกติและใหม่ของการบริโภคในต่างประเทศ และจะทำให้อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดนมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นอเมริกาเหนือ จนถึงวันที่ 21 เมษายน 2020 อเมริกาเหนือมีคําสั่งซื้ออีคอมเมิร์ซ
เพิ่มขึ้น 129% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่ง (43.2%) กล่าวว่าจะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น จากมุมมองของ
กลุ่มอายุ คนรุ่นเจนวาย 48.4% กล่าวว่าจะซื้อสินค้าออนไลน์อย่างต่อเนื่องมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มอายุ 55-74 ปี "ดั้งเดิม" มากกว่า
35.8% กล่าวว่าจะเข้าร่วมการซื้อออนไลน์มากขึ้น โรคระบาดเร่งพฤติกรรมผู้บริโภคจากการช้อปปิ้งออฟไลน์มาเป็นการช้อปปิ้งออนไลน์
นอกจากนี้แล้ว ตามสถานการณ์การแข่งขันในตลาดของประเทศไทยทำให้องค์กรต้องหาพื้นที่ใหม่เพิ่มอย่างเร่งด่วน อีคอมเมิร์ซ
การส่งออกข้ามพรมแดนในรูปแบบการค้ากระแสหลักในยุคต่อไป สามารถช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกได้อย่าง
รวดเร็ว ซึ่งรวมไปถึงตัวอย่างเช่น ประเทศที่พัฒนาแล้วมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ และประเทศกําลังพัฒนามีผลกําไรทาง
การตลาดที่ค่อนข้างสูง เป็นตลาดบลูโอเชี่ยนทั่วไป ด้วยการเติบโตที่ค่อยเป็นค่อยไปของห่วงโซ่อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน ความยากและเกณฑ์ของการทำอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนจึงค่อยๆ ลดลง

• การเติบโตของห่วงโซ่อุตสาหกรรมสะท้อนให้เห็นถึงด้านการบริการสนับสนุนที่ชาญฉลาดและอุดมสมบูรณ์มากขึ้นของเว็บไซต์
อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน ปัจจุบันบริการการจัดเก็บและกระจายสินค้าข้ามพรมแดนของอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้าม
พรมแดนได้ขยายไปทั่วโลก คลังสินค้าต่างประเทศและการจัดส่งในพื้นที่ก็มีผู้ให้บริการที่มืออาชีพ

• อีกด้านหนึ่ง ทางกลับกันการทางานอย่างมืออาชีพของระบบอีคอมเมิร์ซารส่งออกข้ามพรมแดนกําลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หลาย
ขั้นตอนของห่วงโซ่การค้าต่างประเทศล้วนมีบริษัทการบริการที่มืออาชีพ

ดังนั้น:
1. อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเป็นช่องทางการตลาดใหม่
ข้อมูลจากหน้าด่านศุลกากรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของประเทศไทยระบุว่า ปัจจุบันอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของประเทศไทย
นําเข้าจากประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2018 มูลค่าการนำเข้าพัสดุภัณฑ์ของด่านศุลกากรในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจาก 4.7 ล้านเป็น 9.3 ล้าน
ในปี 2018 คาดว่าขนาดตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยจะสูงถึง 35.4 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าอัตราการ
เติบโตต่อปีระหว่างปี 2018-2022 จะอยู่ที่ 13.2% และจะสูงถึง 58.3 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022
ผลกระทบที่ได้รับจากการระบาดของ COVID-19 ทําให้การส่งออกการค้าระหว่างประเทศของไทยในปี 2020 อยู่ที่
2314.68 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6.01% เมื่อเทียบเป็นรายปี มูลค่าการนําเข้ารวม 2069.92 ร้อยล้านดอลลาร์
สหรัฐ ลดลง 12.39% เมื่อเทียบเป็นรายปี และดุลการค้าประจาปีอยู่ที่ 244.76 ร้อยล้านดอลลาร์ 2
ในเดือนธันวาคม ปี 2020 การส่งออกการค้าระหว่างของไทยเพิ่มขึ้น 4.71% แม้จะมีการระบาดของ COVID-19 รอบ
ใหม่ ซึ่งเป็นการเติบโตเชิงบวกครั้งแรกในรอบ 8 เดือน และเพิ่มขึ้นสูงสุดรายเดือนในรอบ 22 เดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่า
ในปี 2021 การส่งออกการค้าระหว่างประเทศของไทย จะเติบโตมากกว่า 4% เมื่อเทียบเป็นรายปี
จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนได้กลายเป็นช่องทางใหม่ในยุคหลังการแพร่ระบาด

2. อาหารและเครื่องดื่มอาจเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคในต่างประเทศ และการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมก็ยังมีข้อดี

ตลอดเวลาที่ผ่านมา สินค้าส่งออกหลักของไทยคือผลิตภัณฑ์เครื่องกลและไฟฟ้า อุปกรณ์การขนส่ง พลาสติกและ
ยางพารา แต่จากข้อมูลในปี 2018-2020 การส่งออกสินค้าทั้ง 3 ประเภทมีแนวโน้มลดลง ขณะที่การส่งออกอาหารและ
เครื่องดื่มเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย จะเห็นได้ว่าอีคอมเมิร์ซ
การส่งออกข้ามพรมแดนส่วนใหญ่ที่กําลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งจะเป็นการค้าปลีกเพื่อการบริโภค

• มูลค่าการส่งออกในปี 2018:
ผลิตภัณฑ์เครื่องกลและไฟฟ้า 779.4 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้น 4.9%) อุปกรณ์การขนส่ง 328 ร้อยล้านดอลลาร์
สหรัฐ (เพิ่มขึ้น 4%) และพลาสติกและยางพารา 300.3 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้น 4.1%) สินค้าทั้งสามประเภทคิด
รวมกันเป็น 56.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย การส่งออกอาหารและเครื่องดื่ม 191.5 ร้อยล้านดอลลาร์
สหรัฐ (เพิ่มขึ้น 4.1%) คิดเป็น 7.7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย

• มูลค่าการส่งออกในปี 2019:
สินค้าเครื่องกลและไฟฟ้า 313.6 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ อุปกรณ์การขนส่ง 286.9 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง
4.4%) พลาสติกและยางพารา 204.1 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง 4.4%) การส่งออกอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น
3.8% การส่งออกสินค้าโลหะมีค่า 156.9 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้น 31.9%) สินค้าทั้ง 4 ประเภทคิดรวมกันเป็น
39.2% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย

• มูลค่าการส่งออกเดือนมกราคม - กันยายน ในปี 2020:
สินค้าเครื่องกลและไฟฟ้า 553.5 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง 6.5%) อุปกรณ์การขนส่ง 238.3 ร้อยล้านดอลลาร์
สหรัฐ (ลดลง 4.2%) และพลาสติกและยางพารา 215.8 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง 4.3%) สินค้าทั้ง 3 ประเภท
รวมกันคิดรวมกันเป็น 54.1% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ การส่งออกอาหารและเครื่องดื่ม
15.08 พันล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 2%) คิดเป็น 8.1% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย
นอกจากนี้ปัจจุบันประชากรของประเทศไทยมีประมาณ 80% ประกอบอาชีพเกษตรกรรม การผลิตพืชผล เช่น ข้าว
ยางพารา ข้าวโพด มันสาปะหลัง และยังเป็น “ยุ้งฉางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” อีกทั้งยังได้เปรียบในด้านการส่งออก
สินค้าเกษตรอย่างแน่นอน ผลผลิตทางการเกษตรของไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายเดียว
ในเอเชียและยังเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลก


3.การวิเคราะห์สินค้าส่งออกหลัก 5 ประเภท
จากมุมมองขององค์ประกอบประเทศ/ภูมิภาคของสินค้าส่งออกหลัก 5 ประเภทของไทย มีการครอบคุลุมประเทศและ
ภูมิภาค 5 อันดับแรกเฉพาะญี่ปุ่นเท่านั้น สินค้าเครื่องกลและไฟฟ้าขั้นต้นเป็นสินค้าที่สาคัญที่สุดของไทยที่ส่งออกไปยัง
ญี่ปุ่น โดยมีมูลค่าการค้าส่งออก 8.947 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ

3. ข้อมูลเบื้องต้นและความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน

3.1. ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน

ก่อนเริ่มทําอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดนอย่างเป็นทางการ ท่านต้องทําตามขั้นตอนการเตรียมการขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ธุรกิจของ
ท่านราบรื่นยิ่งขึ้นในอนาคต
ขั้นตอนการเตรียมการขั้นพื้นฐานเหล่านี้รวมถึง

1. กําหนดประเทศเป้าหมาย

ก่อนอื่นต้องตัดสินว่าจะเปิดร้านค้าในประเทศใด ไม่ใช่ว่ายิ่งเปิดประเทศมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และจํานวนประเทศที่เปิดมากขึ้นไม่ได้
หมายถึงผลกําไรที่ดี ต้องการขายดีก็ต้องเข้าใจประเทศก่อน นอกจากนี้ ภาษาและนิสัยการบริโภคของประเทศต่างๆ ก็แตกต่าง
กันโดยสิ้นเชิง ประเทศที่เปิดยิ่งมากเท่าไหร่ความพยายามที่ต้องใช้ก็จะยิ่งมากขึ้นหลังจากเปิดร้าน ตัวอย่างเช่น หากท่านเปิด
ร้านค้าในอเมริกาเหนือ อาจเข้าใจภาษาอังกฤษก็ได้แล้ว แต่หากอยากเปิดร้านค้าที่ญี่ปุ่น ยิ่งเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมของ
ญี่ปุ่นก็ยิ่งดี ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือ เลือกบางประเทศในตอนเริ่มต้น ไม่ใช่เปิดตัวทั้งหมดอย่างไม่มีเป้าหมาย ปัจจุบัน
Amazon ได้เปิดเว็บไซต์ 17 แห่งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน
เนเธอร์แลนด์ สวีเดน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ซาอุดีอาระเบีย และโปแลนด์ให้ผู้ขายชาวไทย
ผู้ขายสามารถเลือกเว็บไซต์เริ่มต้นได้ตามความได้เปรียบของตนเอง
มีหลายวิธีในการกําหนดตลาดเป้าหมาย หนึ่งคือ การค้นหาตลาดจากสินค้า และอีกวิธีหนึ่งคือ การกําหนดตลาดโดยอิงจาก
คน การค้นหาตลาดจากสินค้าโดยปกติท่านมีทรัพยากรผลิตภัณฑ์บางประเภท ตัวอย่างเช่น สินค้าพร้อมสต็อก ทรัพยากรโรงงาน
ที่ผลิตสินค้า หรือตนเองคุ้นเคยเป็นพิเศษกับสินค้าประเภทหนึ่ง จากนั้นท่านสามารถศึกษาได้ว่า ประเทศใดจะมีความต้องการ
สินค้าดังกล่าว ตัวอย่างเช่น หากท่านมีทรัพยากรในการผลิตเสื้อกันหนาวขนสัตว์ ก็สามารถศึกษาการขายเสื้อกันหนาวขน
สัตว์ในตลาดอีคอมเมิร์ซของอเมริกาเหนือและยุโรปเหนือได้
การกําหนดตลาดโดยอิงจากคนโดยปกติคนในทีมจะคุ้นเคยกับสถานการณ์ของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะ
เคยเรียนที่ประเทศนี้ เข้าใจภาษาของประเทศนี้ มีญาติมิตรในประเทศนี้ เป็นต้น

เลือกประเทศตามเงื่อนไขของตนเองต้องพิจารณา:
• ขนาดตลาดอีคอมเมิร์ซ
• นิสัยการบริโภคของประเทศเป้าหมาย
• ทรัพยากรสินค้าของตนเอง
• ระดับการแข่งขันประเทศเป้าหมาย

Amazon ได้เปิดเว็บไซต์ 17 แห่งสําหรับผู้ขายชาวไทย

2. เข้าใจนโยบายและกฏหมายที่เกี่ยวกับสินค้า

ในการทําธุรกิจอีคอมเมิร์ซเพื่อการส่งออกข้ามพรมแดน ก่อนอื่น ท่านต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่ขายเป็นไปตามกฏ
ระเบียบของประเทศและเว็บไซต์เป้าหมาย
กฎระเบียบเหล่านี้หมายถึงนโยบายและกฏหมายของประเทศเป้าหมาย ตลาดต่างประเทศมักจะมีข้อกําหนดที่เข้มงวดกว่าในเรื่อง
ความปลอดภัย การรักษาสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ และมีนโยบายโดยละเอียดเพิ่มเติมสําหรับสินค้าประเภทที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปมีคาสั่งและข้อบังคับ 8 ประการสําหรับสินค้าของเล่น และการขายพาวเวอร์แบงค์ในสหรัฐอเมริกา
กําหนดให้ส่งรายงานการทดสอบที่เป็นไปตามมาตรฐาน UL 2056/2054 หรือ IEC 60950-1 เป็นต้น
นอกจากเงื่อนไขของประเทศเป้าหมายแล้ว เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเพื่อการส่งออกข้ามพรมแดนเองก็มีข้อบังคับเกี่ยวกับสินค้าของ
ตนเองโดยเฉพาะเกี่ยวกับสินค้า
อันตราย
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่ขายเป็นไปตามกฏระเบียบของประเทศเป้าหมายและเว็บไซต์
สินค้าไทย ≠ สินค้าประเทศเป้าหมาย

3. เข้าใจเงื่อนไขการบรรจุภัณฑ์สินค้า

เงื่อนไขการบรรจุภัณฑ์ของสินค้าอีคอมเมิร์ซเพื่อการส่งออกข้ามพรมแดนก็แตกต่างกับการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม
การค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมคือ บริษัทต่างๆ บรรจุภัณฑ์ตามที่ความต้องการของลูกค้า สินค้าอีคอมเมิร์ซเพื่อการ
ส่งออกข้ามพรมแดนคือ ต้องได้รับการบรรจุภัณฑ์ตามการโฆษณาแบรนด์ ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ บริการหลังการขาย และ
ปัจจัยอื่นๆ ตัวอย่างเช่น มีโลโก้ที่ครอบคลุมมากขึ้น และต้องมีฉลากของ Amazon ขนาดและบรรจุภัณฑ์ต้องคํานึงถึง
ข้อกําหนดด้านคลังสินค้าและการจัดเก็บของ FBA เพื่อลดต้นทุนโดยจะสะท้อนถึงคุณภาพและเกรดของแบรนด์ได้ดีกว่า

4. กําหนดกลยุทธ์การจัดส่งและกระจายสินค้าข้ามพรมแดน

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โลจิสติกส์เป็นความยากของอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดน ดังนั้น ผู้ขายจําเป็นต้องเข้าใจความรู้
พื้นฐานเกี่ยวกับโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ของประเทศเป้าหมาย จากนั้นเลือกวิธีโลจิสติกส์
ที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ผู้ขายจําเป็นต้องทําการตัดสินใจเป็นชุดๆ ตัวอย่างเช่น การเลือกบริการจากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดนหรือส่งสินค้าจากภายในประเทศไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศด้วยพัสดุไปรษณีย์ด้วยตนเองโดยตรง หรือจัดส่งสินค้าจํานวนมากไป
ต่างประเทศด้วยวิธีการขนส่งทางทะเล และชนิดของคลังสินค้าที่จะให้เช่าหลังจากจัดส่งไปต่างประเทศ ประเภทบริษัทโลจิสติก
ท้องถิ่นที่จะจัดส่งให้กับผู้ซื้อ หลังจากที่ผู้ขายได้กําหนดวิธีการโลจิสติกส์แล้ว ยังต้องเลือกคู่ค้าที่เกี่ยวข้องโดยทั่วไปแล้ว แนะนําให้เลือกบริการด้านโลจิสติกส์ที่ให้บริการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดน ทั้งไม่ต้องกังวล และการบริการด้านโลจิสติกส์ของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนจะรวมเข้ากับระบบของพวกเขาได้ค่อนข้องดี ใช้สะดวกสบาย

5. เตรียมพร้อมสำาหรับการรับชําระเงิน

ผู้ขายจําเป็นต้องเข้าใจความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินข้ามพรมแดน ตัวอย่างเช่น เมื่อการรับชําระเงินระหว่างประเทศ
จะประสบปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนในการแปลงสกุลเงินต่างประเทศเป็นบาทและปัญหาการปฏิบัติตามข้อกําหนดทางการเงินข้าม
พรมแดน หลังจากเข้าใจความรู้พื้นฐานเหล่านี้แล้ว ให้เลือกวิธีการรับชําระเงินที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของตนเอง วิธีการ
ชําระเงินที่สามารถเลือกได้มีหลายวิธี: การบริการอย่างเป็นทางการของ Amazon - การรับชําระเงินทั่วโลกของ Amazon
บัญชีธนาคารที่ถูกต้องในเว็บไซต์ต่างประเทศ และบัญชีเงินฝากบุคคลที่สามที่ Amazon ยอมรับ
นอกจากความรู้พื้นฐานเหล่านี้แล้ว ในการทําอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดนยังต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย เช่น แนวโน้ม
การบริโภคของประเทศเป้าหมาย นโยบายกาเรียกเก็บภาษี และยังต้องเรียกรู้การโปรโมทตลาดและอื่นๆ ดังนั้น Amazon จึง
เปิดตัว Seller University โดยเฉพาะ เพื่อผู้ขายตั้งแต่เริ่มต้นสู่ระดับมาสเตอร์ในรูปแบบต่างๆ ในขณะเดียวกัน Amazon ก็
ใช้เครื่องมือข้อมูลต่างๆ และการบริการสนับสนุนอย่างมืออาชีพ (ตัวอย่างเช่น โลจิสติกส์ การโปรโมทการขาย และอื่นๆ) เพื่อ
ส่งเสริมผู้ขายในทุกขั้นตอนของการพัฒนา และมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลักของตนได้ดียิ่งขึ้น
ข้อสงสัยหลักของการรับชําระเงินข้ามพรมแดน
วิธีการแก้ปัญหาการรับชําระเงินที่พบบ่อย:
• บัญชีเงินฝากบุคคลที่สามที่ Amazon ยอมรับ เช่น Payoneer

3.2. ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ ข้ามพรมแดน

อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนถือเป็นอุสาหกรรมใหม่ประเภทหนึ่งที่หลายคนมีความเข้าใจผิดบ่อยๆเกี่ยวกับเรื่องนี้

ความเข้าใจผิดที่ 1:
ไม่มีคลังสินค้าในต่างประเทศก็ไม่สามารถทำอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนได้

ที่จริงแล้ว คือ:
ไม่มีคลังสินค้าของตนเองในต่างประเทศก็สามารถทําอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนได้
ข้อดีของการมีคลังสินค้าในต่างประเทศคือ หลังจากที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าแล้ว สามารถส่งสินค้าจากคลังสินค้าในพื้นที่
และไม่การส่งด่วนจากไทย ซึ่งช่วยลดระยะเวลารอคอยของลูกค้าและประหยัดค่าขนส่ง แต่คลังสินค้าที่สร้างขึ้นเองในต่างประเทศนั้น มีต้นทุนที่สูงสําหรับผู้ขายขนาดเล็กและขนาดกลางส่วนใหญ่ และตัวเลือกที่สะดวกกว่าคือการใช้บริการคลังสินค้าในต่างประเทศของ Amazon ด้วยวิธีนี้เมื่อสินค้าถูกจัดส่งไปยังต่างประเทศ ก็จะเก็บไว้ในคลังสินค้าในต่างประเทศที่ Amazon จัดหาให้ก่อน เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าแล้ว คลังสินค้าของ Amazon จะ
เลือกสินค้าและส่งสินค้าให้กับบริษัทจัดส่ง ผู้ขายสามารถใช้ระบบตรวจดูสถานะการจัดส่งสินค้าของ Amazon เพื่อให้ทราบถึงการติดตามกระบวนการของพัสดุที่แท้จริง เมื่อมีสถานการณ์การคืนหรือเปลี่ยนสินค้า สามารถส่งคืนสินค้าไปยังคลังสินค้าต่างประเทศได้ และเจ้าหน้าที่คลังสินค้าต่างประเทศจะตรวจสอบสภาพสินค้า ว่าสินค้ายังสามารถขายต่อได้หรือเปล่า สําหรับสินค้าที่ไม่สามารถขายต่อได้ ก็ยังสามารถส่งกลับให้ผู้ขายได้อีก

นอกจากมีการให้บริการคลังสินค้าในต่างประเทศแล้ว Amazon ยังให้บริการจัดส่งต่างประเทศ (FBA) แก่ผู้ขาย ซึ่งAmazon เป็นผู้ส่งสินค้าถึงลูกค้าโดยตรง ด้วยวิธีนี้ ผู้ขายก็ไม่จําเป็นต้องไปค้นหาและประสานงานกับบริษัทจัดส่งในพื้นที่ประเทศเป้าหมายด้วยตัวเอง ซึ่งสามารถลดภาระงานของผู้ขายได้อีกด้วย

ความเข้าใจผิดที่ 2:
ไม่มีประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์ในต่างประเทศก็ไม่สามารถทําอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนได้

ที่จริงแล้ว คือ:
ในรูปแบบการค้าระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม การขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศอย่างปลอดภัยและรวดเร็วนั้นก็เป็นเรื่องที่
ท้าทาย เพื่อแกไขปัญหานี้ Amazon ได้จัดสรรการบริการด้านโลจิสติกส์ทั่วโลก (AGL) ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ขายทํางาน
เล็กๆ น้อยๆ ตัวอย่างเช่น ด่านศุลกากรขาออก พิธีการทางศุลกากร โลจิสติกส์ และการขนส่ง และอื่นๆ โดยช่วยลด
ภาระงานและต้นทุนของผู้ขายได้อย่างมา

ความเข้าใจผิดที่ 3:
ไม่สามารถทําอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนหากไม่มีแบรนด์เป็นของตนเอง

ที่จริงแล้ว คือ:
ก่อนอื่น ไม่มีแบรนด์ของตนเองก็สามารถทําอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนได้ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างหน้า อีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญระดับสูง แม้ว่าไม่มีโรงงานหรือแบรนด์ของตนเอง แต่ท่านมีความสามารถในการเลือกสินค้าที่ดี คุ้นเคยกับผู้บริโภคในประเทศเป้าหมาย เข้าใจความต้องการของพวกเขา และทําความคุ้นเคยกับห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทําให้ท่านเป็น “ผู้ซื้อ” ที่ดี และสามารถทําผลงานออกมาได้ดีเช่นกัน

ความเข้าใจผิดที่ 4:
เฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซเท่านั้นถึงสามารถทําอีคอมเมิร์ซส่งออกข้ามพรมแดนได้

ที่จริงแล้ว คือ:
ไม่ํจําเป็นต้องเป็นมืออาชีพด้านอีคอมเมิร์ซหรือต้องมีพื้นฐานด้านอีคอมเมิร์ซ Amazon มีหลักสูตรการฝึกอบรมที่
ครบถ้วนและเป็นระบบ ซึ่งมีความรู้และวิธีดาเนินการทั้งหมดที่จําเป็นสําหรับการส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ตั้งแต่
การเลือกประเทศเป้าหมาย การเลือกสินค้า ไปจนถึงวิธีการเปิดร้านและดาเนินการทีละขั้นตอน ท่านสามารถเรียนรู้สิ่งที่
ท่านต้องการเรียนรู้ และสามารถเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว

ความเข้าใจผิดที่ 5:
เฉพาะผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่งเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้ขายผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนได้

ที่จริงแล้ว คือ:
ไม่ใช่ ตัวแทนจาหน่ายก็สามารถทําได้ เพียงมีสินค้าที่สามารถขายได้ก็สามารถเป็นผู้ขายได้ และตัวแทนจาหน่ายสามารถ
เรียนรู้วิธีการเลือกสินค้า ค้นหาสินค้ายอดนิยม สร้างแบรนด์ และเข้าถึงสินค้ายอดนิยมได้ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ผู้ขาย
ของ Amazon ผู้ขายไม่จําเป็นต้องมีอุตสาหกรรมระดับเชียวชาญ การเป็น“ผู้ซื้อ” ที่ดีก็จะเป็นทางออกที่ดีเช่นกัน
Amazon มีตัวแทนจาหน่ายแบบนี้ที่ประสบความสาเร็จมากมายเช่นนี้

ความเข้าใจผิดที่ 6:
ไม่มีบัญชีการรับชําระเงินก็ในต่างประเทศ ก็ไม่สามารถทําอีคอมเมิร์ซการส่งออกข้ามพรมแดนได้

ที่จริงแล้ว คือ:
ไม่จําเป็น ผู้ขายเพียงต้องเลือกบริการรับชําระเงินข้ามพรมแดนที่เป็นไปตามข้อกําหนดและอนุมัติโดย Amazon และตั้ง
ค่าบัญชีเงินฝากในแพลตฟอร์มผู้ขายของ Amazon หลังจากตั้งค่าแล้ว Amazon จะสรุปผลการชําระเงินไปยังบัญชี
เงินฝากของผู้ขายในแต่ละช่วงเวลาการชําระเงินโดยอัตโนมัติ
ที่มา:
1. eMarketer, Global E-commerce ปี 2020,พฤษภาคม ปี 2020
2. Accenture, The digital marketplace for cross-border trade ,เมษายน ปี 2020
3. eMarketer, Global E-commerce ปี 2020,พฤษภาคม ปี 2020
4. Accenture, The digital marketplace for cross-border trade ,เมษายน ปี 2020
6. global-ecommerce-2019, eMarketer
7. Google, Temasek "รายงานเศรษฐกิจอิเล็กทรอนิกส์ปี 2018”
8. องค์การการค้าโลก “แนวโน้มและข้อมูลการค้าโลก”
9. รายงานข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคทั่วโลกเนลสัน
10. Europe 2020: E-commerce Region Report
11.สํานักงานสถิติแห่งชาติของประเทศไทย
12. Yotpo https://www.yotpo.com/blog/survey-how-is-covid-19-changing-consumer-ecommerce-trend
13. Statista
14. กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย
15. ด่านศุลกากรของประเทศไทย
© 2021, Amazon.com Services LLC.