Blog : [Ecommerce Guide]

เช็กทีละข้อ อยากทำ Fulfillment ต้องนึกถึงอะไรบ้าง

ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเล็กหรือใหญ่ ลูกค้าย่อมคาดหวังการส่งของที่ตรงเวลาและเชื่อถือได้ การใช้บริการ Fulfillment จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ มาดู 14 ข้อหลักที่ต้องคำนึงถึง ในการเลือกบริการ Fulfillment ที่เหมาะกับคุณ!
USD$39.99/เดือน + ค่าธรรมเนียมการขาย
คลังจัดเก็บสินค้า Amazon

1. ขนาดธุรกิจ Ecommerce ของคุณ

สโคปงานคือตัวชี้วัดว่าบริการ Fulfillment แบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจคุณ ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ Ecommerce หรือมีจำนวนออเดอร์ที่ยังไม่มาก การส่งสินค้าเองก็อาจจะเหมาะสม แต่หากธุรกิจเริ่มโตขึ้น แทนที่จะดำเนินการส่งสินค้าเอง การใช้บริการ Fulfillment เพื่อเป็นคลังสินค้าและช่วยจัดส่งไปด้วยจะดีกว่า แต่ไม่ว่าจะทางไหน สิ่งสำคัญคือต้องเช็กให้ชัวร์ว่าคุณมีสินค้ามากพอที่พร้อมส่งในช่วงที่มีออเดอร์เข้ามาจำนวนมาก

2. สินค้าที่คุณขาย

ธุรกิจของคุณขายสินค้าขนาดเล็กเท่ากล่องหนังสือ หรือเป็นแพ็กเกจสินค้าขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก คำถามนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าคุณต้องการบริการอะไรจากระบบ Fulfillment บ้าง เพราะไม่ใช่ว่าสินค้าทุกชนิดจะสามารถใช้การขนส่งได้ทุกรูปแบบ

ในสหรัฐอเมริกาเอง แต่ละสินค้าก็จะมีข้อจำกัดในการขนส่งแตกต่างกันไป การส่งสินค้าขนาดใหญ่ก็จะมีราคาแพงกว่า ส่วนวัสดุหรือสินค้าที่มีอันตรายก็จะต้องใช้การขนส่งภาคพื้นดินเท่านั้น

3. ต้องการใช้บริการ Fulfillment กับช่องทางการขายใดบ้าง

การจัดการออเดอร์ เป็นกระบวนการสำคัญที่มีไว้ติดตามการซื้อของลูกค้าในทุก ๆ ช่องทางการขาย

ถ้าบริการ Fulfillment ไม่สามารถจัดการออเดอร์จากช่องทางการขายของคุณได้ ก็ถือว่าบริการนั้นยังไม่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ ใคร ๆ ก็อยากใช้บริการ Fulfillment แค่เจ้าเดียวเพื่อความง่าย แต่บางกรณี การใช้มากกว่าหนึ่งเจ้าก็อาจเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อที่การจัดการออเดอร์จะได้ครอบคลุมทุกช่องทางการขาย

นอกจากนี้ ระบบส่วนกลางที่ดูแลออเดอร์ของลูกค้าก็สำคัญ ควรเลือกบริการ Fulfillment ที่ช่วยให้คุณเห็นบันทึกคำสั่งซื้อของลูกค้าทั้งหมด เพราะจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้แม่นยำ

4. การติดตามสินค้ามีประสิทธิภาพหรือไม่

การจัดการสินค้าคงคลัง หรือ Inventory Management คือการติดตามสินค้าในสต็อกของคุณ ตั้งแต่การสั่งของ เก็บของ หรือรีสต็อกเมื่อสินค้าเหลือน้อย ทั้งหมดนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการสินค้าคงคลัง ซึ่งการใช้บริการ Fulfillment สามารถช่วยติดตามได้ว่าสินค้าของคุณยังเหลือในคลังอีกมากแค่ไหน จะได้หลีกเลี่ยงสภาวะสินค้าหมด

การจัดการสินค้าคงคลังให้ดีต้องอาศัยความไว และสต็อกของในจำนวนที่ถูกต้อง เพราะถ้าสต็อกของมากไปก็เสี่ยงจ่ายค่าคลังเก็บสินค้าเพิ่ม หรืออาจต้องจ่ายค่าสินค้าล้นสต็อก แต่ถ้ามีน้อยไปของก็จะหมด พลาดโอกาสทำเงินไปอีก

ถ้าคุณขายสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาหรือสินค้าตามฤดูกาลที่เปลี่ยนไปตามเทรนด์ แผนการจัดการสินค้าคงคลังของคุณต้องครอบคลุมเรื่องเหล่านี้ด้วย ผู้ให้บริการ Fulfillment ควรอัปเดตรายงานการขายและจำนวนสินค้าคงคลังได้อย่างปัจจุบันทันด่วน และควรทำให้คุณตรวจสอบสถานะสินค้าคงคลังได้ตามต้องการด้วย

5. ใครจะเป็นคนตอบคำถามลูกค้า

ธุรกิจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็ควรมีระบบที่ช่วยตอบคำถามลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบ Fulfillment by Amazon หรือ FBA สามารถช่วยดูแล Customer Service ให้คุณได้ ไม่ว่าคุณจะเลือกทำ Customer Service เองหรือจ้าง Outsource ก็ย่อมมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ดังนั้นการใช้บริการ Fulfillment จะช่วยให้คุณไปมีเวลาโฟกัสกับเรื่องที่สำคัญจริง ๆ ได้มากกว่า

6. การส่งสินค้าสะดวกและประหยัดแค่ไหน

ระยะเวลาส่งสินค้าคือหนึ่งในปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ลูกค้าใช้พิจารณาเมื่อต้องตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าจากคุณหรือคู่แข่งของคุณ ผลสำรวจล่าสุดพบว่าเกือบ 84% ของผู้ซื้อเลือกการจัดส่งสินค้าเป็นสิ่งสำคัญของประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ของพวกเขา

โดยทั่วไปแล้ว บริการ Fulfillment สามารถส่งสินค้าได้เร็วในราคาประหยัด เนื่องจากสินค้าที่ส่งนั้นมีจำนวนมหาศาล แต่ทุกบริการ Fulfillment ก็จะมีเรตราคาที่ต่างกันไป ซึ่งจะผันผวนตามชนิดของสินค้า สถานที่จัดส่ง และตัวแปรอื่น ๆ นอกจากนี้ ถ้าคุณใช้บริการ Fulfillment อย่าลืมคำนึงถึงราคาและระยะเวลาที่สินค้าของคุณจะไปถึงศูนย์กระจายสินค้าด้วย

7. เก็บสินค้าไว้ที่ไหนดี

ระบบคลังสินค้าที่ดีจะทำให้เข้าถึงสินค้าได้ง่ายและไว ถ้าจะให้ตอบโจทย์เลยก็ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มีการควบคุมอุณหภูมิ และจัดวางอยู่บนชั้นอย่างเป็นระเบียบเพื่อให้นำออกมาได้ง่าย

ระยะทางระหว่างคลังสินค้ากับที่อยู่ลูกค้าก็เป็นอีกปัจจัยที่ควรพิจารณา กรณีที่ฐานลูกค้ากว้าง การมีเครือข่ายกับศูนย์กระจายสินค้าก็จะช่วยลดค่าขนส่งได้
Fulfillment by Amazon (FBA)

8. มีกระบวนการคืนสินค้าอย่างไร

ทุกธุรกิจที่ขายผ่าน Ecommerce ต้องมีช่องทางที่ลูกค้าคืนสินค้าได้ การมีกระบวนการคืนสินค้าที่ได้มาตรฐานจะช่วยให้ลูกค้าคืนของสู่ออฟฟิศหรือศูนย์ Fulfillment พร้อมจ่าหน้าที่อยู่ที่ชำระเงินล่วงหน้าได้อย่างง่ายดาย และยังควรมีระบบแจ้งเตือนให้ลูกค้าทราบว่าจะได้รับสินค้าใหม่หรือเงินคืนเมื่อไหร่

ส่วนหนึ่งในกระบวนการคืนสินค้าที่จำเป็น คือ ต้องตรวจสอบว่าสินค้าไม่ได้รับความเสียหายหรือถูกใช้งานแล้ว และหากจำเป็นก็ควรรีสต็อกสินค้า และออกเอกสารหรือทิ้งสินค้าที่มีตำหนิ การติดตามสินค้าที่ถูกคืนหรือมีข้อผิดพลาดก็เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อการวางแผนผลิตภัณฑ์ ลูกค้าที่ไม่ได้รับความพึงพอใจคือคนที่จะทำให้คุณได้เห็นข้อผิดพลาดของการผลิตหรือการออกแบบสินค้าของคุณได้ดีที่สุด

9. จำเป็นต้องมี Fulfillment Software ไหม

ธุรกิจ Ecommerce ขนาดเล็กอาจทำ Fulfillment โดยใช้ระบบ Manual และ Spreadsheets แต่ธุรกิจใหญ่จำเป็นต้องใช้ Fulfillment Software ที่ซับซ้อน โปรแกรมเหล่านี้จะส่งผลดีกับธุรกิจทุกขนาด เพราะมีเครื่องมือช่วยจัดระเบียบ พร้อมระบบ Fulfillment Tracking

Fulfillment Software บางตัวนั้นล้ำถึงขนาดที่ว่าสามารถรวมระบบออเดอร์ Ecommerce เข้าด้วยกันและส่งต่อไปที่ศูนย์ Fulfillment ได้อัตโนมัติเลยทีเดียว นอกจากนี้ คุณควรเข้าถึงข้อมูลคลังสินค้าปัจจุบันได้ เพื่อจะได้รีสต็อกหรือทำโปรโมชั่นล้างสต็อก

10. คุณอยากขายของออนไลน์ไปถึงระดับต่างประเทศเลยหรือไม่

ธุรกิจ Ecommerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก ดังนั้นหากคุณอยากเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ ควรศึกษาเงื่อนไขต่าง ๆ อาทิ ข้อบังคับ ภาษีศุลกากร และภาษีต่าง ๆ พร้อมสร้างกระบวนการส่งออกสินค้าสู่ต่างประเทศให้น่าเชื่อถือ

บริการ Fulfillment บางเจ้า สามารถช่วยคุณรับมือกับเรื่องซับซ้อนพวกนี้ได้ เช่น Amazon ที่มีร้านค้าอยู่ในหลายทวีปและให้บริการลูกค้ามากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก

11. Fulfillment ที่คุณเลือก มีบริการคลังสินค้าหรือไม่

เพื่อลดระยะเวลาขนส่ง คุณอาจต้องหาทางเก็บสินค้าในสถานที่ ๆ ใกล้กับลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ขายบางคนเลือกใช้บริการศูนย์ Fulfillment หลายแห่งเพื่อจะได้ส่งของไวกว่าเดิม โดยกลยุทธ์ดังกล่าวเรียกว่าการกระจายสินค้า มาจากการส่งสินค้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งการกระจายสินค้าไปให้กับผู้ให้บริการหลาย ๆ เจ้าจะทำให้ลูกค้าได้สินค้าเร็วขึ้น

12. ผู้ให้บริการ Fulfillment จัดส่งสินค้าแบบ Bundle ได้ไหม

การทำให้ลูกค้าเลือกสั่งสินค้าหลายชนิดในร้านค้าออนไลน์ของคุณได้ถือเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มยอดซื้อ ซึ่งบริการ Fulfillment ของคุณควรจะคาดการณ์ได้ว่ามีสินค้าตัวไหน ที่ลูกค้ามักจะเลือกซื้อไปด้วยกัน เพื่อที่จะได้เตรียมแพ็กของล่วงหน้าได้

โดยทั่วไปแล้ว การจัดส่งสินค้าแบบ Bundle แบ่งออกเป็นสองวิธี คือ Pick and Pack Fulfillment และ Kitting and Assembly

Pick and Pack Fulfillment

เมื่อมีออเดอร์เข้ามา พนักงานจะหยิบสินค้าจากคลังและเตรียมไว้สำหรับการขนส่งทันที ระบบคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ จะถึงขั้นเตรียมแพ็กสินค้าที่มักถูกซื้อด้วยกันไว้ล่วงหน้าเลยทีเดียว

Kitting and Assembly

สำหรับสินค้าที่ขายเป็นเซต เช่น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอาง การมีบริการ Fulfillment ที่รับทำ Kitting and Assembly ถือเป็นปัจจัยสำคัญ กระบวนการ Kitting (การประกอบสินค้า) จะมีผู้เชี่ยวชาญคอยรวมสินค้าต่าง ๆ เข้าด้วยกันให้เป็นสินค้าเซตเดียว เพื่อให้การขนส่งรวดเร็วขึ้น การทำ Kitting จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองสามารถประหยัดเงินค่าสินค้าบางตัวได้ ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มยอดเฉลี่ยในการสั่งซื้อเช่นกัน

13. ผู้ให้บริการ Fulfillment มีระบบ Subscription ไหม

มีหลายธุรกิจที่ขายสินค้าด้วยระบบสมาชิก หรือ Subscription ซึ่งเป็นโมเดลยอดนิยม แต่ก็สร้างความท้าทายให้กับระบบโลจิสติกส์ไม่น้อย เพราะมีความซับซ้อนจากการส่งสินค้าที่หลากหลาย และไม่ใช่ทุกศูนย์กระจายสินค้าจะสามารถซัพพอร์ตการขายสินค้าแบบ Subscription ได้ ดังนั้นจึงควรเช็กให้แน่ใจก่อน

14. บริการ Fulfillment มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

ค่าใช้จ่ายในการทำ Fulfillment มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับสเกลงานและความซับซ้อนของธุรกิจคุณว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน

โดยทั่วไปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการทำ Fulfillment มีดังนี้

● ค่าใช้จ่ายทั่วไปในการบริหาร
● ค่าสินค้า
○ สินค้าชิ้นใหญ่อาจมีราคาสูง เพราะต้องมีการประกอบหรือได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
○ ผู้ให้บริการบางเจ้าอาจคิดราคาจากการขนส่งในแต่ละครั้ง โดยที่ไม่เกี่ยวกับขนาดสินค้าแต่อย่างใด
● ค่ารับสินค้าที่ส่งมาจากผู้ผลิต
○ บางเจ้าอาจคิดต่อยูนิตหรือรายสินค้า หรือรายชั่วโมง
○ บางเจ้าก็อาจคิดต่อแท่นสินค้า (พาเลต)
● ค่าคลังสินค้า
○ สินค้าบางชนิดอาจมีค่าใช้จ่ายระหว่างอยู่ในคลัง
○ หากคุณไม่ได้ใช้พื้นที่สินค้าทั้งหมดหรือไม่ได้เติมสินค้าให้ครบพาเลต ก็อาจจะโดนชาร์จเพิ่มเช่นกัน
● ค่า Pick and Pack หรือค่า Fulfillment
○ คือค่าใช้จ่ายให้กับผู้เชี่ยวชาญที่เลือกสินค้า แพ็กสินค้า และส่งสินค้าให้กับคุณ
● ค่า Kitting
○ หากสินค้าของคุณต้องมีการผลิตเข้ามาเกี่ยว หรือต้องเตรียมการพิเศษที่ศูนย์กระจายสินค้า อาทิ เซตสินค้าสมาชิกหรือสินค้าบรรจุใหม่ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็มักจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ Fulfillment แต่ละเจ้า ดังนั้น ควรศึกษาและทำความเข้าใจค่าใช้จ่ายให้ละเอียดก่อนเลือกผู้ให้บริการ

เลือกบริการ Fulfillment ที่ใช่ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ดูรายละเอียดค่าใช้จ่ายบริการ Fulfillment by Amazon ได้ที่นี่
USD$39.99/เดือน + ค่าธรรมเนียมการขาย
© 2021, Amazon.com Services LLC.